โบรกฯ คาดหุ้นไทยปี 66 สุดแค่ 1,460 สภาพคล่องหด-ผวาสงคราม เชื่อเป็นโอกาสลงทุน

“แบงก์ไทย” อู้ฟู้ ไตรมาส 3/66 โกยกำไร 5.9 หมื่นล้านบาท ตั้งสำรองฯสูง

บอนด์ยีลด์สหรัฐฯย่อตัว ลุ้นตลาดหุ้นไทยฟื้นจากหลุม 1,400 ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ระบุว่า ปีนี้หุ้นไทยอันเดอร์เพอร์ฟอร์มมาก (Underperform) ดัชนีติดลบ13% สาเหตุมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ หรือ บอนด์ยีลด์ (Bond Yield) ปรับสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี และสภาพคล่องภายในไทยที่ลดลง ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายในตลาดทุนลดลงอย่างมีนัยยะ รวมถึงความตึงเครียดของภูมิรัฐศาสตร์

โดยนักลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ล่าสุดขายหุ้นไทยสุทธิ 1.7 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 84% ของเม็ดเงินที่ซื้อหุ้นไทยเมื่อปี 65 และยังซื้อพันธบัตรเพียง 20,000 ล้านบาท

ในช่วงสั้น 1-2 เดือน แนะนำลงทุนให้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น หรือเทอมฟันด์ และหาจังหวะลงทุนในหุ้นไทยที่มีปันผลสูง เนื่องจากราคาหุ้นได้ลดลงมากแล้ว ทำให้หุ้นที่มีปันผลสูงจะได้รับฟันด์โฟลว์ไหลเข้า

ทั้งนี้ประเมินว่าไตรมาส 4 ปี 66 ฟันด์โฟลว์ จะมีความผันผวนมาก และยังคงไหลออกจากตลาดพันธบัตร รวมถึงตลาดหุ้นทั่วภูมิภาค โดยปี 66 คาดแนวรับอยู่ที่ 1,342 จุด และอัพไซด์ (Upside) อยู่ที่ 1,460 จุด เนื่องจากตลาดผันผวน

อย่างไรก็ตาม มองว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีในการลงทุนหุ้นไทย เนื่องจาก Valuation หุ้นไทยยังไม่แพงในแง่ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี ซึ่งถูกเป็นอันดับ 3 ในรอบ 15 ปี และคาดว่าปี 67 ตลาดหุ้นไทยจะเอาท์เพอร์ฟอร์ม (Outperform) ตลาดหุ้นโลก เพราะมองว่านักลงทุนต่างชาติจะขายพันธบัตรและหันมาซื้อหุ้นไทย และการเติบโตเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยจะอยู่ที่ 3.6% เมื่อเปรียบเทียบกับ 3% ในปี 2023

โดยคาดการณ์ดัชนี SET index เป้าหมายในปี 2567 ที่ระดับ 1,650 จุด และแนวรับที่ 1,400 จุด

นอกจากนี้ บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ คาดว่าจะเข้าสู่ระดับพีคในไตรมาส 4 ปี 66 และคาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ถึงจุดสูงสุดแล้วที่ 5.25-5.5% และจะเริ่มลดลงในไตรมาส 2 ปี 67

ในวันที่ 1 พ.ยคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง. มีโอกาสที่มาขึ้นดอกเบี้ย 93% พูดง่าย ๆ คือ มีโอกาสที่เฟดจะโฮลดอกเบี้ย 5.25-5.5% มีโอกาส 93% และการประชุมครั้งต่อไป 13 ธ.ค. โอกาสที่ไม่ขึ้นดอกเบี้ยอีก 61% หมายความว่าปีนี้มีโอกาสที่เห็นดอกเบี้ยพีคไปแล้วเนี่ยมากกว่า 60% ผมเชื่อว่าตรงนี้คือข่าวดี ถ้าสงครามไม่ลุกลามต่อ

สำหรับกลุ่มหุ้นที่ให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน คือ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มคมนาคม และกลุ่มเฮลธ์แคร์

ดร.วิศิษฐ์ กล่าวต่อว่า ปัจจัยเสี่ยงของตลาดหุ้นในปีหน้า คือ บอนด์ยีลด์สหรัฐฯที่ยังสูง ซึ่งจะต้องลดลงมาที่ระดับ 3% ความเสี่ยงสงครามจะขยายวงกว้าง ราคาน้ำมันพุ่งสูงเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และมาตราการเงินดิจิทัล

โดยมาตรการเงินดิจิทัล แม้จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการบริโภค (Consumption) มากขึ้น แต่ก็จะทำให้บอนด์ยีลด์สูงขึ้น และส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามด้วย อย่างไรก็ตามระยะเวลาการดำเนินมาตรการยังไม่มีความชัดเจนจากรัฐบาลว่าจะเริ่มทัน 1 ก.พ.66 หรือไม่ อีกทั้งนักลงทุนที่เฝ้าติดตามก็อาจะรอผลของมาตรการออกมาก่อนว่าจะเป็นอย่างไร

ส่วนปัจจัยที่ต้องจับตาพิเศษ ได้แก่ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีผลต่อภูมิรัฐศาสตร์ของโลก และโอกาสที่สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส จะขยายวงกว้างออกไป ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกผันผวน

กางปฏิทินจ่ายเงินเดือนข้าราชการ ค่าจ้างลูกจ้างประจำ บำนาญ ปี 2566

"ธี่หยด" คืออะไร เปิดที่มาภาพยนตร์สยองขวัญ ดูเต็มเรื่อง 26 ต.ค.นี้

วันหยุดพฤศจิกายน 2566 เช็กปฏิทินวันหยุดราชการ-วันสำคัญ

 โบรกฯ คาดหุ้นไทยปี 66 สุดแค่ 1,460 สภาพคล่องหด-ผวาสงคราม เชื่อเป็นโอกาสลงทุน